ประโยชน์ของรางแดง
- ใบนำมาคั่วแล้วใช้ชงกับน้ำดื่มเหมือนชา
- ยอดอ่อน ใบ และเปลือกต้น ใช้เป็นส่วนประกอบในการทำน้ำยาสระผมสูตรแก้รังแค ซึ่งจะประกอบไปด้วยสมุนไพรอื่น ๆ อีก เช่น ส้มป่อยหรือมะนาวหรือมะกรูด ใบหมี่เหม็น และน้ำด่าง (น้ำขี้เถ้า) นำมาต้มรวมกันแล้วนำน้ำที่ได้มาสระผมจะช่วยแก้รังแคได้
สรรพคุณของรางแดง
- เถามีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ จะใช้เดี่ยว ๆ
หรือใช้ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นด้วยก็ได้ ซึ่งตามตำรับยาอายุวัฒนะจะใช้รางแดง 1 ขีด
เหล้า 200 มิลลิเมตร และน้ำผึ้ง 200 มิลลิเมตร นำมาดองไว้ 15 วัน ใช้กินครั้งละ 30
มิลลิเมตร วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรือจะใช้เถารางแดงผสมกับต้นเถาวัลย์เปรียง
ต้นกำแพงเจ็ดชั้น, ต้นขมิ้นเครือ, และต้นนมควาย นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาอายุวัฒนะ (เถา)
- หมอยาอีสานจะมีทั้งใช้เถานำมาต้มกิน
หรือนำใบมาชงเป็นชา (ซึ่งอาจจะใช้แบบเดี่ยว ๆ หรือใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ ก็ได้)
เพื่อเป็นยาบำรุงกำลัง (ตำรับยานี้สามารถช่วยแก้เส้น แก้เอ็น อาการปวดหลัง ปวดเอง
ปวดแข้ง ปวดขา ได้ด้วย) แต่ที่นิยมมากที่สุดคือ การดองเหล้า (ใช้รากนำมาดองกับเหล้า)
(เถา,ราก,ใบ)
- เถานำมาหั่นตากแดด แล้วนำมาปรุงเป็นยากินรักษาโรคกษัย รักษาอาการกล่อนลงฝัก และกล่อนทุกชนิด (เถา) ส่วนรากก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้กษัยเช่นกัน (ราก)
- ตำรับยาช่วยทำให้เจริญอาหาร จะใช้เถารางแดง, ต้นกำแพงเจ็ดชั้น, ต้นขมิ้นเครือ, ต้นเถาวัลย์เปรียง และต้นนมควาย นำมาต้มกับน้ำดื่มช่วยให้เจริญอาหาร (เถา)
ส่วนอีกวิธีให้ใช้ใบนำมาลนไฟหรือตากให้แห้งแล้วชงกับน้ำดื่ม ก็ช่วยทำให้เจริญอาหารได้เช่นกัน
(ใบ)
- เถานำไปต้มกับน้ำดื่มช่วยลดคอเลสเตอรอล (เถา) (ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยัน)
- ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ (เถา)
- รากมีสรรพคุณเป็นยาขับเสมหะ (ราก)
- ใบนำมาลนไฟแล้วนำไปต้มกับน้ำดื่มแทนใบชา จะช่วยทำให้ชุ่มคอ (ใบ)
- ตำรายาไทยจะใช้ใบนำมาปิ้งไฟให้กรอบ ใช้ชงกับน้ำกินต่างน้ำชาเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ (ใบ) ส่วนเถาก็มีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะเช่นกัน (เถา)
- ตำรับยาแก้ผิดสาบ จะใช้รากรางแดง, รากชะอม, รากเล็บเหยี่ยว, รากสามสิบ,
แก่นจันทน์ขาว, แก่นจันทน์แดง, และเขากวาง นำมาฝนใส่ข้าวจ้าวกินแก้ผิดสาบ (ราก)
- เถามีสรรพคุณช่วยบำรุงเส้นสาย แก้เส้น แก้อาการปวดเมื่อยที่ก้นกบ (เถา)
- ตำรับยาแก้ปวดเมื่อย ระบุให้ใช้รางแดง 1 ขีด, อ้อยดำ 1 ขีด, และยาหัว 1 ขีด (เข้าใจว่าคือข้าวเย็น
แต่ไม่ทราบว่าใช้ข้าวเย็นเหนือ หรือข้าวเย็นใต้) ต้มจนเดือดประมาณ 15 นาที
ใช้ต้มกินครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 เวลา ส่วนตำรับยาแก้ปวดเมื่อยของชาวล้านนา
จะใช้ลำต้นรางแดง ผสมกับลำต้นและรากงวงสุ่ม ลำต้นเปล้าล้มต้น ลำต้นเปล้าลมเครือ
ลำต้นแหนเครือ ลำต้นหนาด และลำต้นบอระเพ็ด นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดเมื่อย
(ลำต้น)
- ใบนำมาปิ้งไฟให้กรอบ ใช้ชงกับน้ำกินต่างน้ำชาจะช่วยทำให้เส้นเอ็นในร่างกายอ่อนดี หรือทำให้เส้นเอ็นหย่อน แก้เส้นเอ็นตึง (ใบ)
- พ่อหมอสุนทร พรมมหาราช (หมอยาของอำเภอภูหอ จังหวัดเลย) เล่าว่า ตำรับยาที่หลวงปู่มั่นฉันเป็นยาอายุวัฒนะอยู่เสมอคือ เถารางแดงดองกับน้ำผึ้ง โดยจะนำเถารางแดงมาตัดเป็นท่อน แล้วผ่าใส่โหลหมักกับน้ำผึ้ง นอกจานี้ยังมีตำรับยาบำรุงของหลวงปู่มั่นอีก คือ ให้นำ เครือเขาแกบหรือรางแดง รากตำยาน รากพังคี เนื้อไม้หรือรากกะเพราต้น ใบส่องฟ้า และใบมะเม่า นำมาต้มกินเป็นยาอายุวัฒนะ (เถา)
- ลุงเฉลา คมคาย (หมอยาพื้นบ้านแห่งบ้านดงกระทงยาม อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี) เป็นผู้แนะนำให้ใช้ส่วนของรากรางแดงมาทำเป็นยา เพราะเชื่อว่าเป็นส่วนที่มีสรรพคุณดีที่สุด โดยเฉพาะส่วนของปลายราก (ถ้าหารากไม่ได้ จะใช้เถาแทนก็ได้ แต่สรรพคุณจะไม่ดีเท่ากับส่วนของราก) เมื่อขุดขึ้นมาจะพบว่ารากเป็นสีดำ โดยจะใช้รากที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร และใช้ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร นำมาดองกับเหล้า 1 ขวด ใช้กินเป็นยาบำรุงร่างกาย แก้ปวดหลังปวดเอว หรือใช้ดองร่วมกับสมุนไพรบำรุงกำลังอื่น ๆ โดยลุงเฉลาจะนิยมนำรากมาดองร่วมกับรากคัดเค้า (1:1) นอกจากนี้ยังใช้นำมาชงเป็นชาแก้ปวดหลังปวดเอวได้เช่นกัน ด้วยการนำใบเพสลาดมาตากให้แห้ง นำมาชงกับน้ำร้อนใช้รับประทานครั้งละ 4-5 ใบ
- หมอโจป่อง (หมอยากะเหรี่ยงฤาษีที่หมู่บ้านทิบาเก ในเขตป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันออก) แนะนำว่าให้ใช้ใบของต้นรางแดงนำมาปิ้งไฟแล้วชงกับน้ำกิน เพื่อช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ (ใบ)
- ตาส่วน สีมะพริก และพ่อเม่าหรือพ่อบุญมี ได้ฤกษ์ จะนำรางแดงมาใช้ต้มกินแก้ปวดเมื่อย แก้เอ็น โดยนำมาต้มกินเดี่ยว ๆ หรือต้มรวมกับสมุนไพรบำรุงกำลังอื่น ๆ เช่น เถาวัลย์เปรียง ทั้งสองท่านเล่าว่าผู้ชายจะนิยมใช้มากกว่าผู้หญิง เพราะต้องทำงานหนัก จึงต้องใช้สมุนไพรมาช่วยบำรุงกำลัง แก้กษัย แก้ปวดเมื่อย บำรุงไต ซึ่งหมอยาพื้นบ้านเชื่อว่ารางแดงเป็นสมุนไพรที่ใช้แก้กษัยไตพิการตัวหนึ่ง
- ส่วนหมอยาไทยใหญ่ จะใช้ใบรางแดงนำมาปิ้งกับไฟชงกับน้ำร้อนกินแทนชา เป็นยารักษาอาการปวดเมื่อย ปวดหลังปวดเอว แก้อาการอ่อนเพลีย นอกจากนี้ยังใช้เป็นยาล้างไต ด้วยการใช้ใบชงใส่น้ำร้อน หรือจะใช้รากหรือเถานำมาหั่นตากแห้ง แล้วต้มกินก็ได้ และยังเชื่อว่าหากกินสมุนไพรรางแดงเป็นประจำจะช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต และทำให้เจริญอาหารได้ด้วย
- ข้อสังเกต : จากสรรพคุณที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีสรรพคุณอื่น ๆ ที่มีระบุว่าไว้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรรางแดงทั้งในรูปของชาสมุนไพรและในรูปแบบแคปซูล ว่ารางแดงมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเตอรอล ละลายไขมัน ช่วยลดน้ำหนัก เผาผลาญไขมัน และช่วยขับเหงื่อ (ซึ่งข้อมูลตรงส่วนนี้ ผู้เขียนก็ยังไม่เห็นว่ามีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ และก็ยังไม่เห็นว่ามีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเลย (หรือมีแล้วก็ไม่ทราบ) ไม่แน่ใจว่าเป็นการโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงหรือไม่ จึงขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณด้วยครับ)
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของรางแดง
- สารสกัดหยาบจากใบรางแดงด้วยเอทานอลที่ความเข้มข้นร้อยละ 95 พบว่าสารสกัดที่ได้มีลักษณะหนืดข้นมีสีเขียวเข้มถึงดำ และมีกลิ่นหอม
- จากการศึกษาผลของสารสกัดที่ความเข้มข้น 0, 5000, 10000, 15000, และ 20000 ppm ต่อการเจริญของรา Colletotrichum
gloeosporioides และ Fusarium oxysporum พบว่าสารสกัดที่มีความเข้มข้น
15000 และ 20000 ppm สามารถยับยั้งการเจริญของรา Colletotrichum
gloeosporioides และ Fusarium oxysporum ได้ดีที่สุด
และเมื่อความเข้มข้นเพิ่มข้น จะทำให้ประสิทธิภาพของสารสกัดหยาบเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- จากข้อมูลทางเภสัชวิทยายังไม่มีรายงานถึงฤทธิ์การลดระดับน้ำตาลในเลือดของสมุนไพรรางแดง
- จากการทดสอบความเป็นพิษพบว่าเมื่อฉีดสารสกัดจากทั้งต้นรางแดงด้วยแอลกอฮอล์และน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 เข้าที่ช่องท้องของหนูถีบจักรทดลอง พบว่าในขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่งคือ 800 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จึงเรียกได้ว่ามีความเป็นพิษน้อย
- เมื่อประมาณปี พ.ศ.2548 มีรายงานการศึกษาทดสอบฤทธิ์การยับยั้งเอนไซม์
phosphodiesterase
ด้วยการคัดเลือกสมุนไพรที่หมอยาพื้นบ้านใช้เป็นยาบำรุงกำหนัดและบำรุงสมองรวม
19 ชนิด และพบว่ามีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ดังกล่าวอยู่ด้วยกัน 7 ชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ
รางแดงหรือเครือเถาแกบ
- หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “รางแดง”.
หน้า 677-678.
- หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล). “รางแดง”. หน้า 221.
- หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล. “รางแดงรักษาเบาหวาน?”. อ้างอิงใน:
หนังสือสมุนไพร ไม้พื้นบ้าน เล่ม 4 คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th. [29 พ.ค. 2014].
- คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม กรุงเทพฯ. (รัฐพล ศรประเสริฐ,
ภากร นอแสงศรี, อนงคณ์ หัมพานนท์).
“ผลของสารสกัดหยาบจากใบรางแดง (Ventilago denticulata
Willd.) ต่อการเจริญของ Colletotrichum gloeosporioides และ Fusarium oxysporum”.
- ฐานข้อมู,สมุนไพรไทย
จังหวัดอุตรดิตถ์. “รางแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: industrial.uru.ac.th/herb/.
[29 พ.ค. 2014].
- โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง
(องค์กรมหาชน). “รางแดง, เถารางแดง , เถาวัลย์เหล็ก”.
อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์),
หนังสือพืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ฉบับสมบูรณ์
(พงษ์ศักดิ์ พลเสนา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [29 พ.ค. 2014].
- ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “งวงสุ่ม”.
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com.
[29 พ.ค. 2014].
- ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.
“Ventilago denticulata Willd.”. [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [29 พ.ค. 2014].
- กลุ่มรักษ์เขาใหญ่. “เครือเขาแกบ…พญาดาบหัก”.
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rakkhaoyai.com.
[29 พ.ค. 2014].
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น